คู่มือเตรียมสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ สอบตรง ภาคบัณฑิต (208 หน้า)

*** ชี้แจงโครงการ “ติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ สอบตรง & ภาคบัณฑิต ปี 2557” by TutorlawGroup

โครงการ “ติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ สอบตรง & ภาคบัณฑิต ปี 2557” by TutorlawGroup สวัสดีครับทุกท่าน
ในช่วงนี้ทุกคนคงกำลังเตรียมตัวที่จะสอบข้อเขียน โครงการนิติศาสตร์ สอบตรง & ภาคบัณฑิต และเพื่อเป็นแรงผลักดันทุกท่านที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ สามารถสอบเข้าให้ได้ตามที่มุ่งหวังไว้ TutorlawGroup จึงจัดโครงการ “ติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ สอบตรง & ภาคบัณฑิต ปี 2557” เหมือนเช่นทุกปี
กำหนดการติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (สอบตรง)57 เหลือรอบเดียวคือ เรียนวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2556 และ วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2557 เวลา 08.30 – 13.00 น. สอบวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2557 องค์ประกอบวิชาและค่าน้าหนักแต่ละวิชาที่ใช้ในการสอบคัดเลือก (สอบข้อเขียน) รวม 100 คะแนน ดังนี้ 1. วิชาความถนัดทั่วไป (GAT รหัส 85) 30 % 2. วิชาภาษาอังกฤษ 10 % 3. วิชาเฉพาะ 60 % 3.1 วิชาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย 10 % 3.2 วิชาความสามารถในการใช้เหตุผลทางกฎหมาย 30 % 3.3 วิชาเรียงความ 10 % 3.4 วิชาย่อความ 10 %
ส่วนการสอบเข้าโครงการนิติศาสตร์ ภาคบัณฑิต ของผู้จบปริญญาตรีสาขาอื่นมาแล้วนั้น ของทั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมีความแตกต่างดังนี้ กำหนดการติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ & จุฬา (ภาคบัณฑิต)2557 รอบแรก เดือนกุมภาพันธ์ 57 เรียนวันเสาร์ที่ 8 และ 15เวลา 08.30 – 13.00 น. รอบที่สอง เดือนมีนาคม 57 เรียนวันเสาร์ที่ 8 และ 15 เวลา 08.30 – 13.00 น.
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นิติ ธรรมศาสตร์ ภาคบัณฑิต เปิดรับสมัคร 1 ตุลาคม 2556 – 31 มกราคม 2557 สอบวันที่ 30 มีนาคม 2557 1. ความรู้ทั่วไป 20 ข้อ 20 คะแนน 2. ความสามารถในการใช้เหตุผลทางกฎหมาย 15 ข้อ 30 คะแนน 3. ย่อความ 1 ข้อ 25 คะแนน 4. เรียงความ 1 ข้อ 25 คะแนน คลิ๊กเพื่อดูกำหนดการสอบนิติศาสตร์ภาคบัณฑิต ธรรมศาสตร์ ปี 2556
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย – ข้อสอบอัตนัย (ข้อเขียน) ประมาณ 3 – 4 ข้อ และข้อสอบเรียงความ ย่อความ
คลิ๊กเพื่อดู กำหนดการสอบ ภาคบัณฑิต จุฬา ปี 2556 !!!
นิติ จุฬา ภาคบัณฑิต เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 30 เมษายน 2557 สอบวันที่ 11 พฤษภาคม 2557 ความสามารถในการใช้เหตุผลทางกฎหมาย ย่อความ เรียงความ 100 คะแนน ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมโทร 0859913533

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อะไรคือก่อการร้าย (โดยท่านสราวุธ เบญจกุล: รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม)

อะไรคือก่อการร้าย
สราวุธ เบญจกุล: รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
http://www.midnightuniv.org/midnighttext/0009999694.html

การก่อการร้าย เป็นอาชญากรรมที่มีมานานแล้ว เพียงแต่มีการพัฒนารูปแบบและวิธีการให้มีความร้ายแรงมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวมที่ไม่จำกัดอยู่แต่เพียงกลุ่มผู้ได้รับผล กระทบเพียงกลุ่มเดียว แต่อาจเกิดผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง เพราะการก่อการร้ายไม่จำกัดอยู่เพียงอาณาเขตของรัฐใดรัฐหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าการก่อการร้ายเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่จำกัดรูปแบบและผลที่เกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างจากการกระทำความผิดทั่วๆ ไปที่เมื่อกล่าวถึงแล้วคนอาจเข้าใจในความหมายของการกระทำได้โดยทันที เช่นการลักทรัพย์ หรือการทำร้ายร่างกาย เป็นต้น

ผู้ก่อการร้าย อาจใช้วิธีการที่แตกต่างกันไปในการก่ออาชญากรรม เช่น การวางระเบิด การใช้อาวุธเคมี การลอบสังหารบุคคลสำคัญ หรือการจี้เครื่องบินพุ่งเข้าชนอาคารดังเหตุการณ์ 9-11 ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่การกระทำของผู้ก่อการร้ายก่อให้เกิดผลเหมือนกันคือ มีการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต และก่อให้เกิดความไม่สงบสุขขึ้น

เพื่อป้องกันและ ปราบปรามปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2546 มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา กำหนดให้การก่อการร้ายนั้นเป็นความผิดทางอาญา ที่ผู้กระทำต้องรับโทษตามกฎหมาย โดยบัญญัติถึงความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายไว้ในลักษณะ 1/1 มาตรา 135/1 ถึงมาตรา 135/4. ความผิดฐานก่อการร้าย ผู้กระทำผิดต้องมีเจตนาพิเศษโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาล ไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน โดยกระทำการดังต่อไปนี้

(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ

(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม
หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ

(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม
อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

การกระทำความผิด ฐานก่อการร้าย มีอัตราโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 1,000,000 บาท. แต่มีเหตุยกเว้นไม่เป็นความผิดฐานก่อการร้าย ถ้าเป็นการกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอัน เป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องเป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 นั่นเอง

ความผิดอีกฐาน หนึ่งเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นการ

(1) ขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า บุคคลนั้นจะกระทำการตามที่ขู่เข็ญจริง หรือ

(2) สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกัน เพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้

การกระทำความผิด ฐานนี้ มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาท ถึง 200,000 บาท

ประมวลกฎหมาย อาญายังได้บัญญัติให้ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดทั้งสองฐานข้างต้น จะต้องรับโทษเช่นเดียวกับตัวการที่เป็นผู้กระทำความผิดด้วย. นอกจากการกระทำข้างต้นแล้ว ประมวลกฎหมายอาญายังถือว่า เป็นการก่อการร้ายด้วย หากปรากฏว่าบุคคลใดได้เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งมีมติของหรือประกาศภายใต้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำหนดให้เป็นคณะบุคคลที่มีการกระทำอัน เป็นการก่อการร้าย และรัฐบาลไทยได้ประกาศให้ความรับรองมติหรือประกาศดังกล่าวด้วยแล้ว การกระทำผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปีและปรับไม่เกิน 140,000 บาท

ผู้กระทำความผิด ฐานก่อการร้ายอาจต้องรับโทษในความผิดฐานอื่นด้วย หากเป็นการกระทำที่มีกฎหมายอื่นบัญญัติไว้เป็นความผิด เช่น หากเป็นการก่อการร้ายโดยคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมาย เพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำกัดว่า จะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆหรือเป็นองค์กรขนาดใหญ่ บุคคลที่เป็นสมาชิกของคณะบุคคลหรือองค์กรเพื่อก่อการร้ายนั้น ถือว่าได้กระทำความผิดฐานอั้งยี่ด้วย และอาจต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท

ความผิดฐานก่อ การร้ายเป็นภัยร้ายแรงและมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของประเทศ ในต่างประเทศเองก็มีการบัญญัติกฎหมายให้การก่อการร้ายเป็นความผิด เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากเหตุการณ์ 9-11 มีการออกกฎหมายให้อำนาจรัฐในการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายที่เรียกว่า "Uniting and Strengthening America by Providing Appropriate Tools Required to Intercept and Obstruct Terrorism Act of 2001" หรือ "USA PATRIOT Act" ที่มีสาระสำคัญในการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงอัน อาจนำไปสู่การก่อการร้าย เช่น การดักฟังโทรศัพท์ การเข้าถึงข้อมูลทางอิเลกทรอนิกส์ ซึ่งตามปกติถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล เป็นต้น

แต่เนื้อหาของ "USA PATRIOT Act" ในบางส่วนจะมีระยะเวลาสิ้นสุดตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายและเป็นเนื้อหาส่วน ที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล จึงต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือขยายระยะเวลาบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนดเวลานั้น ที่เรียกว่า "sunset provision" ซึ่ง "USA PATRIOT Act" ได้มีการขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปเมื่อปี ค.ศ. 2005 และ 2006 จะครบกำหนดที่ต้องมีการขยายอีกครั้งในปี ค.ศ. 2010

ดังนั้น ความผิดฐานก่อการร้าย กำหนดขึ้นเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ตลอดทั้งภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยและความสงบสุขของประเทศและสังคมโดยรวม ให้มีประสิทธิภาพ เมื่อมีการกล่าวหาและฟ้องร้องต่อศาลว่ามีการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ศาลยุติธรรมซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง

ศาลจะไม่พิพากษา ลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เพื่อเป็นหลักประกันการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น: