การแสดงเจตนาที่มีผลเป็นโมฆะ
เจตนาซ่อนเร้น เจตนาลวง และนิติกรรมอำพราง เจตนาที่แท้จริงของบุคคลย่อมเกิดขึ้นในใจก่อน ต่อมาจึงแสดงออกซึ่งเจตนาที่แท้จริงอยู่ในใจนั้น ถ้าเจตนาที่แท้จริงในใจกับเจตนาที่แสดงออกตรงกันปัญหาก็ไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าไม่ตรงกันจะเป็นโดยตั้งใจคือรู้ตัวในการแสดงเจตนาหรือไม่ตั้งใจคือแสดงโดยไม่รู้ตัว ปัญหาย่อมเกิดขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว กฎหมายจึงวางหลักไว้ ดังนี้
1เจตนาซ่อนเร้น
หลักกฎหมาย การแสดงเจตนาใด แม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น
อธิบาย ผลของการแสดงเจตนาซ่อนเร้นขึ้นอยู่กับว่าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้หรือไม่ว่าคู่กรณีฝ่ายที่แสดงเจตนาออกมาให้ปรากฏนั้นต้องการผูกนิติสัมพันธ์ด้วยหรือไม่ หากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ
เช่น ผู้แสดงเจตนาทำหนังสือแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า ยอมคืนที่ดินที่เปล่าให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ภายหลังบุคคลที่แสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองยอมคืนที่ดินมือเปล่า อ้างว่าไม่มีเจตนาสละการครอบครองที่ดิน ที่ทำหนังสือฉบับนั้นให้ก็เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นดีใจจะได้หายวิกลจริต ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นิติกรรมที่แสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองนั้นสมบูรณ์ เพราะฝ่ายที่ได้รับการสละนั้นไม่รู้เรื่องด้วยว่าไม่ได้ตั้งใจคืนให้จริงๆ ดังนั้น หากฝ่ายที่ได้รับการสละรู้ว่าที่ทำหนังสือฉบับนั้นให้ก็เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นดีใจจะได้หายวิกลจริต นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ
ข้อสังเกต
เจตนาที่แสดงออก คือ ผู้แสดงเจตนาทำหนังสือแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า
เจตนาที่แท้จริง(ที่ซ่อนเร้นไว้) คือ เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นดีใจจะได้หายวิกลจริต
กฎหมายกำหนดว่า ให้ผูกพันตามเจตนาที่แสดงออก จะอ้างเจตนาภายในใจของตนไม่ได้ ส่งผลให้นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์อยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตามหากคู่กรณีได้รู้ถึงเจตนาภายในใจ นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ
2เจตนาลวง
หลักกฎหมาย การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้
อธิบาย การแสดงเจตนาลวง คือ การที่ผู้แสดงเจตนาทั้งสองฝ่ายสมรู้กัน โดยต่างก็รู้ตัวอยู่ในขณะที่แสดงเจตนาออกมาว่า เจตนาที่ตนแสดงออกนั้นไม่ตรงกับเจตนาแท้จริงที่ตนมีอยู่ในใจ แต่เป็นการแสดงเจตนาออกมาเพื่อที่จะหลอกลวงบุคคลภายนอกอื่นๆ โดยมิได้มีเจตนาที่จะผูกพันเลย
ผลของการแสดงเจตนาลวง แบ่งได้เป็น 2กรณี คือ
1. ผลของนิติกรรมที่เกิดขึ้นกับคู่กรณี นิติกรรมเป็นโมฆะเสมอ
2. ผลของนิติกรรมที่เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอก จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตและต้องเสียหายอันเกิดแต่การแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้
เช่น นายเอกซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่ แต่กลัวนายโทผู้เป็นเจ้าหนี้จะตามมายึด จึงแกล้งลวงนายโทว่าตนขายรถจักรยานยนต์คันนี้ให้แก่นายตรีไปแล้ว แต่ในความจริง นายเอกกับนายนายตรีตกลงกันว่าไม่ได้ขาย สัญญาซื้อขายระหว่างนายเอกกับนายนายตรีจึงตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าต่อมานายตรีร้อนเงินและขายรถจักรยานยนต์ต่อไปให้แก่นายจัตวา โดยนายจัตวาไม่ทราบเรื่องระหว่างนายเอกกับนายนายตรีมาก่อน นายเอกจะยกเจตนาลวงระหว่างนายเอกกับนายนายตรีมาอ้างกับนายจัตวาไม่ได้
3เจตนาอำพรางหรือนิติกรรมอำพราง
หลักกฎหมาย ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ
อธิบาย นิติกรรมอำพราง คือ การที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันทำนิติกรรมอันหนึ่งขึ้นมาให้ปรากฏ ซึ่งในเจตนาที่แท้จริงมิได้ต้องการผูกพันตามนิติกรรมนี้ แต่ทำเพื่อจะอำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่ง ซึ่งคู่กรณีปิดบังไว้และต้องการที่จะผูกพันต่อกันนิติกรรมอำพรางจึงเป็นเรื่องคู่กรณีแสดงเจตนาทำนิติกรรมขึ้นมาอย่างน้อย 2นิติกรรม คือมีนิติกรรมอันหนึ่งที่ประสงค์ผูกพันกันแต่ปกปิดไว้ โดยคู่กรณีได้ทำนิติกรรมอันที่สองซึ่งไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงขึ้น (นิติกรรมลวงซ้อนนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาที่แท้จริง) เพราะฉะนั้นนิติกรรมที่ปรากฏจึงเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง ซึ่งเป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมที่แท้จริงแต่ถูกปกปิดไม่ให้คนอื่นรู้ ย่อมมีผลบังคับได้
เช่น นายเอกและนายโทต้องการทำสัญญาซื้อขายรถกัน แต่กลับไปทำสัญญาเช่ารถโดยไม่มีเจตนาจะผูกพันตามสัญญาเช่ารถ สัญญาเช่ารถพิพาทจึงเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์และจำเลย เป็นโมฆะ และต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขายรถ
ข้อสังเกต
1.นิติกรรมที่แสดงออก คือ นายเอกและนายโททำสัญญาเช่ารถกัน
2.นิติกรรมที่ถูกอำพราง คือ นายเอกและนายโทต้องการทำสัญญาซื้อขายรถ
กฎหมายกำหนดว่า นิติกรรมที่แสดงออก คือการลวงบุคคลภายนอกจึงตกเป็นโมฆะ ดังนั้นสัญญาเช่ารถจึงเป็นโมฆะ และให้คู่กรณีผูกพันกันตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางคือสัญญาซื้อขายรถแทน
4.สำคัญผิดในสาระสำคัญของบุคคลหรือทรัพย์สิน
การสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ
1.โดยสำคัญผิดในตัวนิติกรรม เช่น เข้าใจว่าทำสัญญาซื้อขาย แต่สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเช่า
2.บุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมนั้น เช่น นส.จันต้องการสมรสกับนายฝันเด่น แต่เข้าใจผิดว่าคิดว่าฝันดีเป็นฝันเด่นจึงเข้าพิธีแต่งงานด้วย
3.ในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เช่น นายเอกต้องการซื้อที่ดินติดถนนของนายโท แต่ที่ดินดังกล่าวที่นำมาขายกลับเป็นที่ดินแปลงอื่น