คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ที่สอบเข้าคณะนิติศาสตร์
What Where
When Why How
What & How: เรียนกฎหมาย เรียนอะไร อย่างไร
ผู้เขียนเคยได้ยินนักกฎหมายท่านหนึ่งกล่าวว่า
“กฎหมายนั้นเรียนไม่ยาก เพราะกฎหมายเป็นเรื่องของการใช้สามัญสำนึก หรือ Common Sense” ดังนั้น ในขณะที่ทำข้อสอบกฎหมายให้พึงระลึกเสมอว่า
กฎหมายเป็นเครื่องมือของการสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
การหาคำตอบของข้อสอบกฎหมายจึงเป็นการแสวงหาหนทางที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้นนั่นเอง
เมื่อกฎหมายเป็นเรื่องของสามัญสำนึก
ผมขอยกตัวหนึ่งที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น

สังเกตได้ว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีจุดมุ่งหมายของตนเองทั้งสิ้น
ทุกคนย่อมรีบร้อนที่จะไปทำธุระของตน เพราะเข้าใจว่าธุระของตนมีความสำคัญ
หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ย่อมมีการโต้เถียง กระทบกระทั่งกัน
สุดท้ายนำไปสู่ความขัดแย้ง ต่างฝ่ายย่อมต้องอ้างธุระว่าตนมีความรีบร้อนกว่าธุระคนอื่น
แล้วอะไรจะเป็นสิ่งที่จะกำหนดว่า
“ใครมีสิทธิที่จะไปก่อน โดยที่คนที่เหลือมีหน้าที่ต้องรอ”
เพื่อให้การใช้สี่แยกนั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและลดความขัดแย้งอันเกิดขึ้นเนื่องจากมีการปฏิสัมพันธ์กันของคนในสังคม
คำตอบง่าย ๆ ก็คือ ไฟจราจร นั่นเอง
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบว่า เป็น “กฎหมาย” นั่นเอง
หากสัญญาณไฟจราจรฝั่งของ A ขึ้นสีเขียว เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการที่ A ได้ “สิทธิ” ที่จะใช้เส้นทางนั้น โดยที่ B, C, D มี “หน้าที่” ที่จะหยุดรถของตน
ถ้า B, C, D ฝ่าฝืนไม่กระทำตาม “หน้าที่” ทั้ง B, C และ D ย่อมมี “ความรับผิด” ต่อ A
เพราะเหตุที่ไม่กระทำตามหน้าที่ของตน
ดังนั้น
หากไม่มีการปฏิสัมพันธ์ของคนในสังคม ไม่มีการอยู่ร่วมกัน ไม่มีสังคม
ย่อมไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความขัดแย้ง กฎหมายย่อมไม่มีความสำคัญ
ดังจะเห็นได้จากสุภาษิตลาตินบทหนึ่งที่กล่าวว่า “ที่ใดมีสังคม ที่นั่นย่อมมีกฎหมาย”
(Ubi societas, ibi jus)
Where & When: เรียนกฎหมายที่ไหน ตอนไหน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์) หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักสมัญญานามของพระองค์ท่านว่า
“พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” ทรงก่อตั้งโรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย
ภายหลังจากนั้น มีการโอนการเรียนการสอนมารวมเป็นคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากนั้นจึงยกระดับขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ในปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยเอกชน
สถาบันราชภัฏ และวิทยาลัยได้เปิดการเรียนการสอนในสาขานิติศาสตร์
รวมจำนวนแล้วมากกว่า 90
สถาบัน
ในระบบการศึกษาปกติ
คณะนิติศาสตร์จะรับผู้ที่จะเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี โดยมีคุณสมบัติคือเป็นผู้สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
นอกจากนี้ บางมหาวิทยาลัยยังมีการรับนิสิต นักศึกษาผ่านระบบสอบตรง ซึ่งปกติจะมีการวัดความรู้ทั่วไปทางกฎหมายเพื่อที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่มีความสนใจและถนัดในเรียนวิชานิติศาสตร์
นอกจากระบบการศึกษาปกติแล้ว
คณะนิติศาสตร์บางมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง ยังได้มีการเปิดระบบการศึกษาพิเศษ (รู้จักกันว่า
โครงการนิติศาสตร์ ภาคบัณฑิต) ที่รับเฉพาะผู้สำเร็จขั้นปริญญาบัณฑิตในสาขาวิชาอื่น
(ที่มิใช่นิติศาสตร์) ศึกษาได้ โดยจัดเป็นการศึกษาแบบบูรณาการ
เพื่อให้นิสิตสามารถนำองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมมาเชื่อมโยงและประยุกต์ใช้กับความรู้ทางนิติศาสตร์
เพื่อเป็นบัณฑิตทางนิติศาสตร์ที่รู้รอบและรอบรู้ในการประกอบวิชาชีพกฎหมาย
หรือในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอื่น ๆ ตามความชำนาญของตน
Why:
เรียนกฎหมายไปทำไม
จริงๆแล้ว คำถามที่ว่าเรียนกฎหมายไปทำไมนั้น
เป็นคำถามพื้นฐานที่สุดที่ผู้ที่จะสอบเข้าคณะนิติศาสตร์พึงต้องสำรวจตนเองเสียก่อนว่า
เป้าหมายในการประกอบอาชีพของเราคืออะไร
เมื่อสำเร็จการศึกษาทางนิติศาสตร์
สามารถประกอบวิชาชีพทางกฎหมายใดได้บ้าง
-
ผู้พิพากษา
-
พนักงานอัยการ
-
ทนายความ
-
ที่ปรึกษากฎหมาย
-
อาจารย์นิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย
-
นิติกรประจำหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐ
เช่น เจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ นิติกรศาล
นิติกรสำนักงานอัยการ เสมียนศาล เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน ป.ป.ป. พนักงานคุมประพฤติ
เป็นต้น
-
เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
-
ปลัดอำเภอ
-
นักการทูต
-
พนักงานแผนกกฎหมายในบริษัทเอกชนต่างๆ
-
เจ้าพนักงานตำรวจ
-
นักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.)
-
ข้าราชการรัฐสภาสามัญปฏิบัติงานในหน้าที่นิติกร
-
นายทหารเหล่าพระธรรมนูญ
คำถามยอดฮิต
1. เนติบัณฑิตยสภา
คืออะไร
เนติบัณฑิตยสภาในพระบรมราชูปภัมภ์เป็นองค์การอิสระมีฐานะเป็นนิติบุคคล
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษานิติศาสตร์ และการประกอบอาชีพทางกฎหมาย รวมทั้งการรักษาความประพฤติของทนายความ
ให้ตั้งอยู่ในสัจธรรม
ให้สาธารณชนได้อาศัยทนายความซึ่งมีความสามารถและสมควรที่จะเชื่อถือได้ดียิ่งขึ้น
ต่อมาเนติบัณฑิตยสภาได้จัดตั้ง สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
(Institute
of Legal Education Thai Bar Association ) โดยมีเป้าหมายสำคัญว่า
การจัดการศึกษาวิชากฎหมายนั้นจำเป็นต้องให้มีการศึกษาภาคปฏิบัติอย่างเพียงพอเสียก่อนที่จะอนุญาตเข้าปฏิบัติงานในวิชาชีพกฎหมาย
ดังนั้น ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิตมาแล้ว หากประสงค์ที่จะประกอบวิชาชีพผู้พิพากษา
หรือพนักงานอัยการ จะต้องเข้าอบรมในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาเสียก่อน
หากบุคคลใดสามารถสอบไล่ได้เป็น “เนติบัณฑิตไทย หรือ น.บ.ท.” แล้ว
ย่อมมีคุณสมบัติที่จะเข้าสอบเพื่อบรรจุเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา หรืออัยการผู้ช่วย
(ภายหลังจากนั้น จึงจะได้บรรจุเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาหรือพนักงานอัยการ
ต่อไป)
2.
ถ้าจะประกอบวิชาชีพทนายความจะต้องทำอย่างไร
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิตมาแล้ว
หากประสงค์ที่จะประกอบวิชาชีพทนายความ จะต้องเข้าอบรมในสำนักอบรมวิชาว่าความเสียก่อน
หากบุคคลใดสามารถสอบไล่ได้ตามหลักสูตร
ก็จะมีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความได้
3. จบหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิตแล้ว
ไม่ประสงค์ที่จะศึกษาต่อหลักสูตรเนติบัณฑิตและหลักสูตรวิชาว่าความได้หรือไม่
ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิตมาแล้ว
มีช่องทางในการประกอบวิชาชีพทางกฎหมายที่หลากหลายดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น
ซึ่งหลายวิชาชีพทางกฎหมายก็ไม่ได้ระบุคุณสมบัติของการเป็นเนติบัณฑิตไทยหรือจะต้องมีใบอนุญาตว่าความ
เช่น ที่ปรึกษากฎหมายในสำนักงานกฎหมาย พนักงานแผนกกฎหมายในบริษัทเอกชน
นิติกรบางหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
เมื่อสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิตแล้ว
หากผู้ใดต้องการศึกษาในสายนิติศาสตร์ในขั้นที่สูงขึ้นและต้องการมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมายเอกชนและธุรกิจ
กฎหมายมหาชน กฎหมายระหว่างประเทศ หรือวิชากฎหมายอาญา ผู้นั้นสามารถศึกษาต่อในระดับมหาบัณฑิต
และดุษฎีบัณฑิตต่อไปได้
4. จริงหรือไม่
ที่เรียนกฎหมายมีโอกาสเสี่ยงตกงานสูง
ถ้าคิดแบบใช้สามัญสำนึกทั่วไป
นายจ้างย่อมต้องการจ้างลูกจ้างที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานด้วย
เพื่อที่จะทำให้องค์กรนายจ้างเกิดความพัฒนาและเติบโต ดังนั้น
หากผู้ที่จบกฎหมายมีจำนวนมาก ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
นายจ้างย่อมมีตัวเลือกที่มากขึ้น
ในทางกลับกันผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับนิติศาสตรบัณฑิตในแต่ละปีมีจำนวนมาก
ย่อมเกิดโอกาสเสี่ยงสูงที่จะตกงาน อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว
นิสิตนักศึกษารวมทั้งบัณฑิตย่อมต้องฝึกตนให้พร้อม พัฒนาความรู้ความสามารถ
ทบทวนความรู้กฎหมาย
ใส่ใจเหตุการณ์รอบตัวตลอดเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
และพัฒนาทักษะการใช้ภาษา (โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) เพื่อเพิ่มศักยภาพของตนเองด้วย
look here costume wigs,hair toppers,costume wigs,wigs for women,wigs for women,cheap wigs,hair extensions,cheap wigs human hair,human hair toppers navigate to these guys
ตอบลบ