วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

คำเสนอ และ คำสนอง

คำเสนอ คือ การแสดงเจตนาแสดงความประสงค์ของตนต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหลายคนเพื่อขอให้ทำสัญญาด้วย หรือ อาจสรุปสั้น ๆ ว่า เป็นคำขอให้ทำสัญญา

คำเสนอเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งมีผลผูกพันผู้เสนอ จะแสดงเจตนาต่อบุคคลโดยเจาะจงหรือต่อสาธารณชนโดยไม่เจาะจงก็ได แต่จะต้องมีข้อความชัดเจนแน่นอน ซึ่งเมื่อมีคำสนองรับตามคำเสนอ สัญญาจะต้องเกิดขึ้น

ถ้าสัญญาไม่เกิด ย่อมไม่ใช่คำเสนอ แต่อาจเป็นเพียงคำปรารภ หรือคำทาบทาม หรือคำเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งทำคำเสนอขึ้นก่อน


คำสนอง คือ การแสดงเจตนาของผู้สนองรับต่อผู้เสนอตกลงรับทำสัญญาตามคำเสนอ หรืออาจสรุปสั้น ๆว่า คำสนอง คือ คำตอบรับทำสัญญาตามคำเสนอ

คำสนองเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งต้องผูกพันผู้สนองรับ แต่จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้เสนอเท่านั้น เมื่อคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน ก็จะเกิดเป็นสัญญาผูกพันทั้งสองฝ่าย

ทั้งนี้ หมายความว่า การแสดงเจตนาทำคำสนองนั้น จะต้องมาถึงผู้เสนอก่อนคำเสนอสิ้นความผูกพัน และคำสนองนั้นจะต้องไม่มีข้อไขอันไม่ตรงตามคำเสนอของผู้เสนอ

ถ้าคำเสนอมาถึงเมื่อคำเสนอสิ้นความผูกพันแล้ว หรือมีข้อไขไม่ตรงตามคำเสนอของผู้เสนอ สัญญาย่อมไม่เกิด

สัญญาเกิดขึ้นเมื่อใด และที่ใด

สัญญาเกิดขึ้นเมื่อคำเสนอกับคำสนองตกต้องตรงกัน โดยสัญญาจะเกิด ณ ที่ใดแล้วแต่การทำคำสนอง ดังนี้

1 สัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง ย่อมเกิดเป็นสัญญาขึ้นแต่เวลาเมื่อคำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ

2 สัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้า ไม่ว่ามีการบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองหรือไม่มีการบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง เมื่อสนองรับต่อหน้าก็เกิดสัญญา ณ ที่สนองรับนั้น แต่ถ้าเป็นคำเสนอคำสนองทางโทรศัพท์ ต้องถือว่าสัญญาเกิด ณ ที่ผู้เสนอได้รับคำสนองทางโทรศัพท์นั้น เพราะถือว่าเป็นการสนองรับต่อหน้าผู้เสนอ ผู้เสนออยู่ ณ ที่ใด สัญญาย่อมเกิดขึ้นที่นั่น

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

ประเภทของสัญญา

1 สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน

สัญญาต่างตอบแทน คือสัญญาที่คู่สัญญาต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน เช่นสัญญาซื้อขาย โดยผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อ ส่วนผู้ซื้อต้องชำระราคาให้ผู้ขาย (ผู้ซื้อและผู้ขายต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน)

สัญญาไม่ต่างตอบแทน คือสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งใดฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหนี้และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกหนี้เช่นสัญญายืม ผู้ให้ยืมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ยืมเท่านั้น ผู้ให้ยืมไม่ได้มีฐานะเป็นลูกหนี้ ดังนั้นผู้ให้ยืมมีสิทธิบังคับเอากับทรัพย์ที่ตนให้ยืม ส่วนผู้ยืมซึ่งเป็นลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถคืน



2 สัญญามีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน

สัญญามีค่าตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องเสียค่าตอบแทนเพื่อแลกกับประโยชน์ที่จะได้รับในลักษณะเดียวกัน เช่น ราคาแลกกับสินค้าในสัญญาซื้อขาย

สัญญาไม่มีค่าตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับประโยชน์ในทรัพย์นั้นโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย เช่น สัญญายืม สัญญาให้โดยเสน่หา



3 แบ่งตามชื่อของสินค้า คือ สัญญาที่มีชื่อกับสัญญาที่ไม่มีชื่อ

สัญญามีชื่อ หรือเอกเทศสัญญา คือสัญญาที่พบและใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมกับแต่ละสัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาฝากทรัพย์ เป็นต้น

สัญญาที่ไม่มีชื่อ คือ ข้อตกลงของคู่สัญญาที่ทำขึ้นเอง โดยไม่มีลักษณะดังเช่นเอกเทศสัญญา

หลักทั่วไปในการทำสัญญา

“สัญญา” มีสาระสำคัญ ดังนี้

1) สัญญานั้นต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ลำพังบุคคลเพียงฝ่ายเดียวไม่อาจที่จะก่อให้เป็นสัญญาขึ้นมาได้

2) บุคคลทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการแสดงเจตนา ซึ่งถูกต้องตรงกัน ซึ่งเรียกตามภาษากฎหมายว่า มีความตกลงยินยอมของบุคคลสองฝ่ายนั่นเอง

3) ต้องมีวัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันในทางกฎหมายตามที่ทั้งสองต้องการ

4) สัญญาก่อผลผูกพันระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น กล่าวคือ สัญญาจะเกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาและสัญญาจะมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญา (Privity of Contract) เท่านั้น กล่าวคือ จะก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น คู่สัญญาจะก่อความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิหรือก่อให้เกิดหนี้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งไม่ใช่คู่สัญญาไม่ได้ เว้นแต่สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก