*** ชี้แจงโครงการ “ติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ สอบตรง & ภาคบัณฑิต ปี 2557” by TutorlawGroup
โครงการ “ติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ สอบตรง & ภาคบัณฑิต ปี 2557” by TutorlawGroup สวัสดีครับทุกท่าน
ในช่วงนี้ทุกคนคงกำลังเตรียมตัวที่จะสอบข้อเขียน โครงการนิติศาสตร์ สอบตรง & ภาคบัณฑิต และเพื่อเป็นแรงผลักดันทุกท่านที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ สามารถสอบเข้าให้ได้ตามที่มุ่งหวังไว้ TutorlawGroup จึงจัดโครงการ “ติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ สอบตรง & ภาคบัณฑิต ปี 2557” เหมือนเช่นทุกปีกำหนดการติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (สอบตรง)57 เหลือรอบเดียวคือ เรียนวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2556 และ วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2557 เวลา 08.30 – 13.00 น. สอบวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2557 องค์ประกอบวิชาและค่าน้าหนักแต่ละวิชาที่ใช้ในการสอบคัดเลือก (สอบข้อเขียน) รวม 100 คะแนน ดังนี้ 1. วิชาความถนัดทั่วไป (GAT รหัส 85) 30 % 2. วิชาภาษาอังกฤษ 10 % 3. วิชาเฉพาะ 60 % 3.1 วิชาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย 10 % 3.2 วิชาความสามารถในการใช้เหตุผลทางกฎหมาย 30 % 3.3 วิชาเรียงความ 10 % 3.4 วิชาย่อความ 10 %
ส่วนการสอบเข้าโครงการนิติศาสตร์ ภาคบัณฑิต ของผู้จบปริญญาตรีสาขาอื่นมาแล้วนั้น ของทั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมีความแตกต่างดังนี้ กำหนดการติวเข้มสอบเข้านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ & จุฬา (ภาคบัณฑิต)2557 รอบแรก เดือนกุมภาพันธ์ 57 เรียนวันเสาร์ที่ 8 และ 15เวลา 08.30 – 13.00 น. รอบที่สอง เดือนมีนาคม 57 เรียนวันเสาร์ที่ 8 และ 15 เวลา 08.30 – 13.00 น.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นิติ ธรรมศาสตร์ ภาคบัณฑิต เปิดรับสมัคร 1 ตุลาคม 2556 – 31 มกราคม 2557 สอบวันที่ 30 มีนาคม 2557 1. ความรู้ทั่วไป 20 ข้อ 20 คะแนน 2. ความสามารถในการใช้เหตุผลทางกฎหมาย 15 ข้อ 30 คะแนน 3. ย่อความ 1 ข้อ 25 คะแนน 4. เรียงความ 1 ข้อ 25 คะแนน คลิ๊กเพื่อดูกำหนดการสอบนิติศาสตร์ภาคบัณฑิต ธรรมศาสตร์ ปี 2556จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย – ข้อสอบอัตนัย (ข้อเขียน) ประมาณ 3 – 4 ข้อ และข้อสอบเรียงความ ย่อความ
คลิ๊กเพื่อดู กำหนดการสอบ ภาคบัณฑิต จุฬา ปี 2556 !!!นิติ จุฬา ภาคบัณฑิต เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 30 เมษายน 2557 สอบวันที่ 11 พฤษภาคม 2557 ความสามารถในการใช้เหตุผลทางกฎหมาย ย่อความ เรียงความ 100 คะแนน ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมโทร 0859913533
tutorlawgroup fanpage
วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552
คำเสนอ และ คำสนอง
คำเสนอ คือ การแสดงเจตนาแสดงความประสงค์ของตนต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหลายคนเพื่อขอให้ทำสัญญาด้วย หรือ อาจสรุปสั้น ๆ ว่า เป็นคำขอให้ทำสัญญา
คำเสนอเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งมีผลผูกพันผู้เสนอ จะแสดงเจตนาต่อบุคคลโดยเจาะจงหรือต่อสาธารณชนโดยไม่เจาะจงก็ได แต่จะต้องมีข้อความชัดเจนแน่นอน ซึ่งเมื่อมีคำสนองรับตามคำเสนอ สัญญาจะต้องเกิดขึ้น
ถ้าสัญญาไม่เกิด ย่อมไม่ใช่คำเสนอ แต่อาจเป็นเพียงคำปรารภ หรือคำทาบทาม หรือคำเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งทำคำเสนอขึ้นก่อน
คำสนอง คือ การแสดงเจตนาของผู้สนองรับต่อผู้เสนอตกลงรับทำสัญญาตามคำเสนอ หรืออาจสรุปสั้น ๆว่า คำสนอง คือ คำตอบรับทำสัญญาตามคำเสนอ
คำสนองเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งต้องผูกพันผู้สนองรับ แต่จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้เสนอเท่านั้น เมื่อคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน ก็จะเกิดเป็นสัญญาผูกพันทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ หมายความว่า การแสดงเจตนาทำคำสนองนั้น จะต้องมาถึงผู้เสนอก่อนคำเสนอสิ้นความผูกพัน และคำสนองนั้นจะต้องไม่มีข้อไขอันไม่ตรงตามคำเสนอของผู้เสนอ
ถ้าคำเสนอมาถึงเมื่อคำเสนอสิ้นความผูกพันแล้ว หรือมีข้อไขไม่ตรงตามคำเสนอของผู้เสนอ สัญญาย่อมไม่เกิด
คำเสนอเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งมีผลผูกพันผู้เสนอ จะแสดงเจตนาต่อบุคคลโดยเจาะจงหรือต่อสาธารณชนโดยไม่เจาะจงก็ได แต่จะต้องมีข้อความชัดเจนแน่นอน ซึ่งเมื่อมีคำสนองรับตามคำเสนอ สัญญาจะต้องเกิดขึ้น
ถ้าสัญญาไม่เกิด ย่อมไม่ใช่คำเสนอ แต่อาจเป็นเพียงคำปรารภ หรือคำทาบทาม หรือคำเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งทำคำเสนอขึ้นก่อน
คำสนอง คือ การแสดงเจตนาของผู้สนองรับต่อผู้เสนอตกลงรับทำสัญญาตามคำเสนอ หรืออาจสรุปสั้น ๆว่า คำสนอง คือ คำตอบรับทำสัญญาตามคำเสนอ
คำสนองเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งต้องผูกพันผู้สนองรับ แต่จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้เสนอเท่านั้น เมื่อคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน ก็จะเกิดเป็นสัญญาผูกพันทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ หมายความว่า การแสดงเจตนาทำคำสนองนั้น จะต้องมาถึงผู้เสนอก่อนคำเสนอสิ้นความผูกพัน และคำสนองนั้นจะต้องไม่มีข้อไขอันไม่ตรงตามคำเสนอของผู้เสนอ
ถ้าคำเสนอมาถึงเมื่อคำเสนอสิ้นความผูกพันแล้ว หรือมีข้อไขไม่ตรงตามคำเสนอของผู้เสนอ สัญญาย่อมไม่เกิด
สัญญาเกิดขึ้นเมื่อใด และที่ใด
สัญญาเกิดขึ้นเมื่อคำเสนอกับคำสนองตกต้องตรงกัน โดยสัญญาจะเกิด ณ ที่ใดแล้วแต่การทำคำสนอง ดังนี้
1 สัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง ย่อมเกิดเป็นสัญญาขึ้นแต่เวลาเมื่อคำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ
2 สัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้า ไม่ว่ามีการบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองหรือไม่มีการบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง เมื่อสนองรับต่อหน้าก็เกิดสัญญา ณ ที่สนองรับนั้น แต่ถ้าเป็นคำเสนอคำสนองทางโทรศัพท์ ต้องถือว่าสัญญาเกิด ณ ที่ผู้เสนอได้รับคำสนองทางโทรศัพท์นั้น เพราะถือว่าเป็นการสนองรับต่อหน้าผู้เสนอ ผู้เสนออยู่ ณ ที่ใด สัญญาย่อมเกิดขึ้นที่นั่น
1 สัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง ย่อมเกิดเป็นสัญญาขึ้นแต่เวลาเมื่อคำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ
2 สัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้า ไม่ว่ามีการบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองหรือไม่มีการบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง เมื่อสนองรับต่อหน้าก็เกิดสัญญา ณ ที่สนองรับนั้น แต่ถ้าเป็นคำเสนอคำสนองทางโทรศัพท์ ต้องถือว่าสัญญาเกิด ณ ที่ผู้เสนอได้รับคำสนองทางโทรศัพท์นั้น เพราะถือว่าเป็นการสนองรับต่อหน้าผู้เสนอ ผู้เสนออยู่ ณ ที่ใด สัญญาย่อมเกิดขึ้นที่นั่น
วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552
ประเภทของสัญญา
1 สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน
สัญญาต่างตอบแทน คือสัญญาที่คู่สัญญาต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน เช่นสัญญาซื้อขาย โดยผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อ ส่วนผู้ซื้อต้องชำระราคาให้ผู้ขาย (ผู้ซื้อและผู้ขายต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน)
สัญญาไม่ต่างตอบแทน คือสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งใดฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหนี้และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกหนี้เช่นสัญญายืม ผู้ให้ยืมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ยืมเท่านั้น ผู้ให้ยืมไม่ได้มีฐานะเป็นลูกหนี้ ดังนั้นผู้ให้ยืมมีสิทธิบังคับเอากับทรัพย์ที่ตนให้ยืม ส่วนผู้ยืมซึ่งเป็นลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถคืน
2 สัญญามีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
สัญญามีค่าตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องเสียค่าตอบแทนเพื่อแลกกับประโยชน์ที่จะได้รับในลักษณะเดียวกัน เช่น ราคาแลกกับสินค้าในสัญญาซื้อขาย
สัญญาไม่มีค่าตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับประโยชน์ในทรัพย์นั้นโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย เช่น สัญญายืม สัญญาให้โดยเสน่หา
3 แบ่งตามชื่อของสินค้า คือ สัญญาที่มีชื่อกับสัญญาที่ไม่มีชื่อ
สัญญามีชื่อ หรือเอกเทศสัญญา คือสัญญาที่พบและใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมกับแต่ละสัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาฝากทรัพย์ เป็นต้น
สัญญาที่ไม่มีชื่อ คือ ข้อตกลงของคู่สัญญาที่ทำขึ้นเอง โดยไม่มีลักษณะดังเช่นเอกเทศสัญญา
สัญญาต่างตอบแทน คือสัญญาที่คู่สัญญาต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน เช่นสัญญาซื้อขาย โดยผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อ ส่วนผู้ซื้อต้องชำระราคาให้ผู้ขาย (ผู้ซื้อและผู้ขายต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน)
สัญญาไม่ต่างตอบแทน คือสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งใดฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหนี้และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกหนี้เช่นสัญญายืม ผู้ให้ยืมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ยืมเท่านั้น ผู้ให้ยืมไม่ได้มีฐานะเป็นลูกหนี้ ดังนั้นผู้ให้ยืมมีสิทธิบังคับเอากับทรัพย์ที่ตนให้ยืม ส่วนผู้ยืมซึ่งเป็นลูกหนี้มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถคืน
2 สัญญามีค่าตอบแทนกับสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
สัญญามีค่าตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องเสียค่าตอบแทนเพื่อแลกกับประโยชน์ที่จะได้รับในลักษณะเดียวกัน เช่น ราคาแลกกับสินค้าในสัญญาซื้อขาย
สัญญาไม่มีค่าตอบแทน คือ สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับประโยชน์ในทรัพย์นั้นโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย เช่น สัญญายืม สัญญาให้โดยเสน่หา
3 แบ่งตามชื่อของสินค้า คือ สัญญาที่มีชื่อกับสัญญาที่ไม่มีชื่อ
สัญญามีชื่อ หรือเอกเทศสัญญา คือสัญญาที่พบและใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนและเหมาะสมกับแต่ละสัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาฝากทรัพย์ เป็นต้น
สัญญาที่ไม่มีชื่อ คือ ข้อตกลงของคู่สัญญาที่ทำขึ้นเอง โดยไม่มีลักษณะดังเช่นเอกเทศสัญญา
หลักทั่วไปในการทำสัญญา
“สัญญา” มีสาระสำคัญ ดังนี้
1) สัญญานั้นต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ลำพังบุคคลเพียงฝ่ายเดียวไม่อาจที่จะก่อให้เป็นสัญญาขึ้นมาได้
2) บุคคลทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการแสดงเจตนา ซึ่งถูกต้องตรงกัน ซึ่งเรียกตามภาษากฎหมายว่า มีความตกลงยินยอมของบุคคลสองฝ่ายนั่นเอง
3) ต้องมีวัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันในทางกฎหมายตามที่ทั้งสองต้องการ
4) สัญญาก่อผลผูกพันระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น กล่าวคือ สัญญาจะเกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาและสัญญาจะมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญา (Privity of Contract) เท่านั้น กล่าวคือ จะก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น คู่สัญญาจะก่อความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิหรือก่อให้เกิดหนี้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งไม่ใช่คู่สัญญาไม่ได้ เว้นแต่สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก
1) สัญญานั้นต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ลำพังบุคคลเพียงฝ่ายเดียวไม่อาจที่จะก่อให้เป็นสัญญาขึ้นมาได้
2) บุคคลทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการแสดงเจตนา ซึ่งถูกต้องตรงกัน ซึ่งเรียกตามภาษากฎหมายว่า มีความตกลงยินยอมของบุคคลสองฝ่ายนั่นเอง
3) ต้องมีวัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันในทางกฎหมายตามที่ทั้งสองต้องการ
4) สัญญาก่อผลผูกพันระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น กล่าวคือ สัญญาจะเกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาและสัญญาจะมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญา (Privity of Contract) เท่านั้น กล่าวคือ จะก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น คู่สัญญาจะก่อความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิหรือก่อให้เกิดหนี้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งไม่ใช่คู่สัญญาไม่ได้ เว้นแต่สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)